วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

week 9 : ♦ มาทำไอศกรีมกันเถอะ : ไอศครีมทำเองที่บ้านได้ง่ายๆ ☺ ♦






ใครชอบกินไอติมยกมือขึ้นนนนนน *0* !!! 

ยอมรับมาสะดีๆว่าคุณเองก็เป็นคนที่ชอบกินไอติมที่แสนจะหวานเย็น และสดชื่นนน 
จนห้ามใจไม่อยู่ ใช่ม้าาาา...  (^O^)




       สวัสดีค่ะ และในที่สุดเราก็ได้มาพบกันอีกครั้ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเวลาจะล่วงเลยไปจนถึง
สัปดาห์ที่ 9 แล้ว   ฮู้เร่ ... ~~~


จากที่ผ่านๆมาก็คงจะเห็นว่าบล็อกเกอร์ได้อัพบล็อกเป็นของกินจำพวกของหวานสะส่วนใหญ่
(ความชอบส่วนตัวล้วนๆ 555555)  และวันนี้ก็เช่นกันค่ะ ! ของทานเล่นหลาก
สีสัน ที่แสนสดชื่น
และหวานฉ่ำ และที่สำคัญเย็นจนขึ้นสมอง ?  ไว้ดับร้อนได้ดีเลยทีเดียววว 555555  

แท่น แท๊นนน พระเอกของเรา  "ice cream''  นั่นเอง !!!


* ถ้าหากคุณเป็นผู้ที่ชอบทานไอศกรีมเป็นชีวิตจิตใจ แล้วอยากลองทำไอศครีมมทานเองที่บ้าน 
....ตามมาดูเลยค่ะ เพราะบล็อกเกอร์ได้รวบรวมสูตรทำไอศครีมที่หลากหลายมาไว้ที่นี้แล้วววว....




ไอศกรีมชาเขียว




ส่วนผสมและอุปกรณ์
  • นมข้นจืด 2 1/2 ถ้วย
  • วิปปิ้งครีม 1/2 ถ้วย
  • ผงชาเขียวมัทฉะ 3 ช้อนโต๊ะ
  • ไข่แดง 2 ฟอง
  • น้ำตาลทรายละเอียด 1/2 ถ้วย
  • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
  • ถั่วแดงกวน (ตกแต่ง)
  • สะระแหน่ (ตกแต่ง)
  • เชอร์รีสำหรับแต่ง (ตกแต่ง)



วิธีทำ
ผสมนมข้นจืดและวิปปิ้งครีมเข้าด้วยกันด้วยตะกร้อมือในอ่างผสม แล้วร่อนผงชาเขียวมัทฉะใส่ลงไปคนผสมอีกครั้งให้เข้ากันดี พักไว้



ตีผสมไข่แดงจนข้นเป็นสีครีมนวล จึงค่อย ๆ ใส่น้ำตาลและเกลือลงไป พร้อมกับตีจนน้ำตาลทรายละลาย 





เทส่วนผสมลงในถาดก้นตื้นแล้วนำเข้าแช่ เมื่อไอศกรีมเริ่มจับตัวแข็งพอสมควรก็เอามาขูดด้วยส้อม
จากนั้นก็เข้าแช่แข็งอีกทำแบบนี้สัก
3 ครั้งหรือมากกว่านั้น (ใส่กล่องที่มีฝาปิด)
พอไอศกรีมแข็งแล้วก็ตักเป็นลูกกลม ๆ ใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยถั่วแดง







ไอศกรีมเจลลีเกล็ดหิมะ 



ส่วนผสมและอุปกรณ์
  • น้ำเดือด 1 ถ้วย
  • สไปร์ท หรือโซดา 2 ถ้วย
  • ผงเจลาตินสำเร็จรูปกลิ่นที่ชอบ (ขนาด 85-100 กรัม) จำนวน 4 กล่อง
  • พิมพ์หรือถาดสี่เหลี่ยม (สำหรับใส่ไอศกรีม)




วิธีทำ

1.ผสมผงเจลาตินสำเร็จรูปกับน้ำเดือดในถาดสี่เหลี่ยม คนผสมให้เข้ากันจนผงวุ้นละลาย
2.จากนั้นเติมสไปร์ทหรือโซดาลงไปผสม คนให้เข้ากัน 
3.นำถาดส่วนผสมไปแช่แข็ง ทิ้งไว้อย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือข้ามคืน 
ก่อนเสิร์ฟให้ใช้ที่ตักไอศกรีม ค่อย ๆ ขูดเจลลี่เกล็ดหิมะออกแล้วตักเป็นก้อนกลม ๆ
ใส่แก้วให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ






ไอศกรีมชาไทย 



 ส่วนผสมและอุปกรณ์

  • น้ำชาเย็น 1-1/2 ถ้วย
  • วิปปิ้งครีม 1 ถ้วย (หรือ Fresh Whipping Cream)


วิธีทำ
1.ต้มผงชากับน้ำ น้ำตาลทราย และใส่เกลือป่นลงไปเล็กน้อย (เพื่อความกลมกล่อม) 

เคล็บลับ : ใครอยากได้สีเข้มหรือสีอ่อนแค่ไหนก็แล้วแต่จะใส่ผงชาลงไป มากหรือน้อย

2.ยกลงกรองเอากากชาออกพักให้เย็นแล้วนำไปแช่ในช่องแช่แข็งให้พอเป็นเกล็ดน้ำแข็ง
3.นำส่วนผสมออกจากช่องแช่แข็ง ใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ตามด้วยวิปปิ้งครีม ปั่นจนเนียนแล้วเทใส่ลงในภาชนะ นำเข้าแช่แข็ง แล้วนำออกมาอีกครั้ง ปั่นประมาณ 2-3 รอบให้ได้เนื้อเนียน




ไอศกรีมอัญชัน





ส่วนผสมและอุปกรณ์
  • ดอกอัญชันสดหรือแห้ง
  • น้ำ
  • น้ำตาลทราย (ตามชอบ)
  • เกลือ เล็กน้อย
  • วิปปิ้งครีม 1 ถ้วย (สามารถเพิ่มวิปปิ้งครีมได้ จะได้เนื้อไอศกรีมที่มีความเข้มข้นขึ้นไปอีก)


วิธีทำ
1. ต้มดอกอัญชันกับน้ำจนเดือด ใส่น้ำตาลทรายและเกลือลงไป รอจนเดือดอีกครั้ง (ชิมรสให้ออกหวานนิดนึงและสีเข้มมากน้อยก็ตามใจเลยค่ะ) ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น จากนั้นกรองเอาเฉพาะน้ำ เทใส่ภาชนะ จากนั้นนำเข้าช่องแช่แข็งให้เริ่มจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง

2. นำเกล็ดน้ำแข็งอัญชันและวิปปิ้งครีมอย่างละ 1 ถ้วยใส่เครื่องปั่น ปั่นให้เข้ากัน
 (ใช้อัตราส่วน
1 : 1 หรือใครจะใส่วิปปิ้งครีมเพิ่มเพื่อให้เนื้อเนียนและเข้มข้นก็ได้) 

3. เทส่วนผสมที่ปั่นแล้วใส่กล่องแล้วนำเข้าแช่แข็งจนเริ่มเป็นเกล็ดน้ำแข็ง จากนั้นนำออกมาปั่นอีกครั้ง เทใส่ภาชนะแล้วนำไปแช่จนถึงเวลารับประทาน




ไอศกรีมกล้วยบวดชี




ส่วนผสมและอุปกรณ์
  • กะทิ (เข้มข้นปานกลาง) 1 ถ้วย
  • กล้วยน้ำว้า 100 กรัม (ต้มสุกหั่นเป็นชิ้น)
  • น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือป่นหยาบ 1/2 ช้อนชา
  • เนื้อมะพร้าวเผา (หั่นเป็นชิ้น) 50 กรัม
  • กล้วยน้ำสุกห่าม ต้มสุกหั่นแว่น (สำหรับใส่ในพิมพ์)
  • พิมพ์ไอศกรีมตามชอบ
  • ไม้เสียบไอศกรีม 


วิธีทำ
1. ใส่กะทิลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟ พอร้อน
2. ใส่กล้วยน้ำว้าลงต้ม พอเดือดใส่น้ำตาลปี๊บและเกลือป่น ต้มต่อจนกล้วยน้ำว้านิ่ม
3. ใส่เนื้อมะพร้าวเผา คนผสมพอเข้ากันดี ยกลงจากเตา
4.ใส่กล้วยนน้ำว้าหั่นแว่น ลงในพิมพ์
5. ตักส่วนผสมในข้อที่ 3 ลงในพิมพ์จนเต็ม จากนั้นเสียบไม้ไอศกรีมลงตรงกลาง นำเข้าแช่ในตู้เย็นช่องแช่แข็งประมาณ 1 คืน หรือจนแข็งตัว จัดเสิร์ฟ



ไอศกรีมโยเกิร์ต 



ส่วนผสมและอุปกรณ์
  • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 2 ถ้วย (ไขมันต่ำ)
  • โยเกิร์ตรสสตรอว์เบอร์รี 1/2 ถ้วย (ไขมันต่ำ)
  • สตรอว์เบอร์รี 100 กรัม
  • พิมพ์ไอศกรีม (หรือแก้วกระดาษ)
  • ไม้ไอศกรีม

 วิธีทำ

1.หั่นครึ่งสตรอว์เบอร์รี วางลงในพิมพ์สำหรับทำไอศกรีม
2. เทโยเกิร์ตรสธรรมชาติใส่ในพิมพ์ไอศกรีมประมาณ 3/4 พิมพ์ นำเข้าแช่ในช่องแช่แข็งประมาณ 30 นาที
3. นำส่วนผสมออกจากตู้เย็นแล้วใส่โยเกิร์ตรสสตรอว์เบอร์รีทับลงไปด้านบน นำเข้าช่องแช่แข็งต่อจนแข็งตัว นำออกจากพิมพ์ตกแต่งด้วยใบสะระแหน่ จัดเสิร์ฟ





ไอศกรีม โยเกิร์ต เชอร์เบ็ท




ส่วนผสมและอุปกรณ์
  •          เครื่องปั่นสับ
  •          กล่องพลาสติกที่มีฝาปิดและสามารถเเช่เเข็งได้
  •          กระชอนตาละเอียด
  •          นมเปรี้ยวดัชมิลดีไลท์สูตรไขมันต่ำ ขวดเล็ก 180 ml. พลังงาน 80 kcal
  •          โยเกิร์ตดัชชี่ FAT FREE รสวุ้นมะพร้าว ให้พลังงาน 80 kcal
        ใครจะใช้รสอื่นก็ได้ค่ะตามใจชอบ :)
  •          แอปเปิ้ลฟูจิ 100 กรัม ให้พลังงาน 52 kcal
  •          สตรอเบอรี่สด 50 กรัม ให้พลังงาน  16 kcal
  •          บลูเบอร์รี่สด 50 กรัม ให้พลังงาน  28 kcal
  •          มะนาวครึ่งผล พลังงาน 10 kcal
  •          เกลือ 1/4 ช้อนชา





วิธีทำ
หั่นผลไม้ทั้งหมด จะได้ปั่นง่ายใส่ลงในเครื่องปั่น
เติมนมเปรี้ยวและโยเกืร์ตลงไป บีบมะนาวลงไปเพิ่มความหอมและความเปรี้ยวให้จัดจ้านขึ้น
เติมเกลือแล้วปั่นให้ละเอียด
เมื่อละเอียดแล้วให้ยกลง แล้วกรองด้วกระชอน ที่ให้ใช้กระชอนเพราะเราจะเอาเเค่เศษชิ้นใหญ่ๆ
และเมล็ดออก จะได้ยังมีเนื้อผลไม้ให้ทาน
ใส่กล่องพลาสติกนำเข้าตู้เย็นช่องแช่เเข็ง
4-5 ชม. หรือถ้าหากใครมีเครื่องทำไอศกรีมก็ใช้ได้
จะได้เนื้อที่ไม่เป็นเกร็ดน้ำเเข็งใหญ่ๆ ดีไปอีกแบบค่ะ เวลาเสริฟให้นำช้อนมาขูดให้เป็นเกร็ดละเอียดๆก่อนแล้วเติมหน้าด้วยผลไม้สดอร่อยอย่าบอกใครเลยค่ะ
  >w<
เป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดมาก ทำ 1 กล่องสามารถเเบ่งทานได้ 3 – 4 ครั้งเลย
 จะให้พลังงาน
ถ้วยละ 86 kcal  เท่านั้นเอง ส่วนใครจะทานครั้งเดียวหมดก็รับพลังงานไป 258 kcal ค่ะ
อร่อย คลายร้อน แถมยังไม่อ้วนอีกด้วย

ไอศกรีมโอริโอ้



ส่วนผสมและอุปกรณ์
  •     ไวท์ช็อคโกแลตพุดดิ้ง 1 กล่อง  
  •      คุกกี้โอริโอ้ 16 ชิ้น 
  •     นมสด 2 ถ้วย  ไม้ไอศกรีม 
  •      ถ้วยกระดาษสำหรับใส่ไอศกรีม




วิธีทำ
1. ทุบโอริโอ้ 10 อันให้เป็นชิ้นเล็กๆ
2. นำนมและไวท์ช็อคโกแลตมาผสมกัน แล้วใส่โอริโอ้ที่ทุบไว้แล้ว
3.เทส่วนผสมใส่ถ้วยกระดาษไว้ แล้วปักไม้ไอศกรีมลงไปตรงกลาง
4.นำโอริโอ้ 6 อันที่เหลือมาทำให้ละเอียด โรยหน้า แล้วนำไปแช่แข็งประมาณ 4 ชม.
ก็จะได้ไอศกรีมโอริโอ้อร่อย พร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ : D









จุใจมั้ยเอ่ยยย สำหรับไอศกรีมในแบบต่างๆที่เราคัดสรรมาให้ ><
ไม่ว่าจะอันไหนก็น่าทานทั้งนั้นเลยยย  ยังง !  ยังไม่พอค่ะ เรายังมีวิดีโอสอนทำไอศกรีมที่แสนจะง่ายดายมาฝากอีกก  ไปดูกันเลยยยย




ไอศครีมจากถุงซิปล็อค








ไอศครีมผลไม้สด เนื้อผลไม้เน้น ๆ >w<




      คิดว่าน่าจะเพียงพอสำหรับคนที่อยากลองทำไอศกรีมแบบต่างๆทานเองที่บ้านแล้วล่ะเนอะ
จริงๆก็มีเยอะกว่านี้ แต่คิดว่าแค่นี้ก็คงจะทำกันไม่หวาดไม่ไหวแล้วล่ะ ถ้าลองทำหมดนี่เปิดร้านขายไอศกรีมเองได้เลย 555555   ส่วนผสมอาจจะดูยุ่งยากไปนิด แต่ถ้าลองทำดูแล้วก็คงไม่ยากเกิน
ความสามารถเราแน่นอนค่ะ  

วันนี้เราคงต้องจบการเขียนบล็อกเพียงเท่านี้ก่อน
ขอให้อร่อยกับการทานไอศกรีมนะคะ  บ๊ายบายยยยยยย ..








อ้างอิง :
http://cooking.kapook.com/view117368.html
http://www.edtguide.com/edtwithkids/432250
https://www.youtube.com/watch?v=SRKUZFyry-s
https://www.youtube.com/watch?v=7L3-2LNfzDM


Continue Reading...

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 8 : Review app > Line Deco <


Hi : week 8  :D


     และแล้วว... ในที่สุดบล็อกเกอร์ก็ได้กลับมาทำบล็อกต่อแล้ว >_<

คิดว่าทุกคนคงจะผ่านช่วงเวลาที่แสนสาหัสนั่นก็คือ การปั่นงานและ การสอบ สอบ สอบ สอบบบ...!!
(ทำเสียงเอคโค่.. )

ตอนนี้เราก็สอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว  วันนี้เราจึงมาพูดคุยกับเรื่องเบาๆสบายๆ นั่นก็คือ
เราจะทำการรีวิวแอพค่ะ !! แต่เป็นแอพอะไรนั้น ถ้าได้เห็นคงต้องรู้ในทันทีแน่นอนนน
แอพนั้นก็คือ                                               
.
.
.
.
.






แอพปรับแต่งไอคอนและวอลเปเปอร์บนมือถือยอดฮิตอย่าง Line Deco นั่นเอง 
ซึ่งแอพนี้จะทำการแปลงโฉมไอคอนเดิมๆบนมือถือของคุณให้ สวย เก๋ น่ารัก ฟรุ๊งฟริ๊ง 
 หรือแบบเรียบๆ คลาสสิคๆก็มีน้าาา ถูกใจคนชอบแต่งไอคอนแน่นอน
งั้นไปดูกันเลยยยย ~~ 






ก่อนอื่นเราก็เริ่มดาวน์โหลดแอพมาลงเครื่องกันก่อน บอกเลยแอพนี้โหลดฟรีจ้าาา ( >u<)''
** โหลดได้ทั้งระบบ IOS และ Andriod   ดี๊ดี 5555555






เมนูหลักของแอพนี้ได้แก่ หมวด วอลเปเปอร์ , ไอคอน , วิดเก็ต . แกลอรี่ , อื่นๆ

เริ่มที่อันแรกเลยละกัน ..

วอลเปเปอร์

มีรูปภาพสวยๆ หลากหลายสไตล์ให้เราเลือก จำแนกตามหมวดหมู่ต่างๆ --> Featured, New, Top, Collection, Line  สามารถกดดาวน์โหลดและตั้งค่าเป็นวอลเปเปอร์หน้าจอได้ทันที








ไอคอนแพ็ค


                            





     เป็นไอคอนสำหรับสร้าง short cut ไว้บนหน้าจอ  สามารถกดดาวน์โหลดแบบแพ็คมาทั้งหมด
แต่ถ้าไม่ชอบอยากเปลี่ยนไอคอนเอง ที่ไม่เหมือนใคร ก็เลือกเปลี่ยนไอคอนแยก แต่ละแอพได้ตามความต้องการ


  • ถ้าเราต้องการเปลี่ยนไอคอนเฉพาะแอพบางตัว เราสามารถค้นหาตามรายชื่อแอพได้ด้วย 
  • เลือกแอพที่ต้องการเปลี่ยนไอคอน แล้วเราจะเห็นไอคอนแบบต่างๆ ของแอพนั้นๆ ให้เลือกมากมาย 
  • เลือกไอคอนที่ต้องการสักอัน แล้วกด use this icon 







ไอคอนแพคมีทั้งให้โหลดฟรีและใช้เหรียญซื้อด้วยนะ .. 






วิดเก็ต

           แบ่งเป็นหมวด นาฬิกา  ปฏิทิน  แบตเตอรี่  วิธีการก็คล้ายๆกับเปลี่ยนไอคอน ชอบอันไหนก็กดโหลดได้เลย  แต่เท่าที่ดูมาส่วนใหญ่แบบที่เก๋ๆ น่ารักๆ มักจะต้องใช้เหรียญซื้อ ซึ่งบางทีเราก็แอบงก 55555555 แต่ถ้าใครพอใจจะซื้อก็ตามสบายเลยจ้า ^___^




       หลักๆที่จะมารีวิวก็มีเท่านี้ละน้า  ใครถูกใจก็ลองโหลดมาใช้ดูได้ เราชอบแต่งเล่นเพราะวอลเปเปอร์บางอันสวยมากกก ไอคอนก็น่ารัก สีมันสวย แต่งแล้วก็สนุกดี 555555  :D

อันนี้เป็นหน้าจอของเราเอง (ไอติมชาเขียวมาอีกตามเคย ต่อเนื่องจากบล็อกชาเขียว 55555)
ของใครโหลดมาใช้ดูแล้วก็มาแชร์รูปกันได้เลยนะ !! >3<




อันนี้สวยดีไปเจอจากในเว็บ ..








  มีเยอะจนเลือกไม่ถูกเลยจริงๆ ฮิฮิ  งั้นวันนี้ขอต้องขอลาไปก่อน ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้จ้า

 บ๊ายบายยยยยยย...








อ้างอิง
http://appjeed.com/line-deco/
https://play.google.com/store/apps/details?id=com.campmobile.android.linedeco
https://www.youtube.com/watch?v=1B-_FlZUgCI

Continue Reading...

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์





สวัสดีค่ะทุกๆคน กลับมาพบกันอีกแล้วกับบล็อกของเราเองงง >w<  ตอนนี้เราก็มาไกลจนถึง week 7 แล้ว  สัปดาห์นี้ดูเหมือนจะเป็นช่วงใกล้สอบ คงจะต้องวุ่นวายกับการทำงานส่งอาจารย์แล้วก็อ่านหนังสือเตรียมสอบกัน แทบไม่ได้หลับได้นอนกันเลยที่เดียว #เราเองก็เช่นกัน#ช่างน่าสงสาร 55555555

เอาล่ะเราว่าเรามาพูดอะไรที่เป็นสาระกันหน่อยดีกว่า สัปดาห์นี้เราก็จะทำเสนอความรู้ทางวิชาการกันอีกเช่นเคยค่ะ (หะ .. อีกแล้วหรอ) เผื่อว่าใครเบื่อจากวิชาที่เครียดๆจากการอ่านหนังสือ
บล็อกเกอร์ก็หวังดีค่ะ ! 55555 ลองมาอ่านบล็อกเล่นๆเพื่อเสริมความรู้เกี่ยวกับวิชาคอมพิวเตอร์ก็ดีน้า....

เริ่มกันเลยยย … start ! …


คอมพิวเตอร์


คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"
คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป  นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก

   อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ 
คอมพิวเตอร์ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน 5 หน่วย ได้แก่ 
หน่วยรับข้อมูล (Input Unit)
ทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้เข้าสู่หน่วยความจำหลัก ปัจจุบันมีสื่อต่าง ๆ ให้เลือกใช้ได้มากมาย แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้
อุปกรณ์แบบกด (Keyed Device) เช่น แป้นพิมพ์ (Keyboard) แบ่งเป็น 4 กลุ่มด้วยกันคือ
 -  แป้นอักขระ (Character Keys)
 -  แป้นควบคุม (Control Keys)
 -  แป้นฟังก์ชัน (Function Keys)
 -  แป้นตัวเลข (Numeric Keys)



อุปกรณ์ชี้ตำแหน่ง (Pointing Device) เช่น เมาส์ (Mouse) ลูกกลมควบคุม (Track ball) แท่งชี้ควบคุม (Track Point) แผ่นรองสัมผัส (Touch Pad) จอยสติก (Joy stick) เป็นต้น




จอภาพระบบไวต่อการสัมผัส (Touch-Sensitive Screen) เช่น จอภาพระบบสัมผัส (Touch screen)

ระบบปากกา (Pen-Based System) เช่น ปากกาแสง (Light pen) เครื่องอ่านพิกัด (Digitizing tablet)

อุปกรณ์กวาดข้อมูล (Data Scanning Device) เช่น เอ็มไอซีอาร์ (Magnetic Ink Character Recognition - MICR) เครื่องอ่านรหัสบาร์โค้ด (Bar Code Reader) สแกนเนอร์ (Scanner) เครื่องรู้จำอักขระด้วยแสง (Optical Character Recognition - OCR) เครื่องอ่านเครื่องหมายด้วยแสง (Option Mark Reader -OMR) กล้องถ่ายภาพดิจิตอล (Digital Camera) กล้องถ่ายทอดวีดีโอดิจิตอล (Digital Video)



อุปกรณ์รู้จำเสียง (Voice Recognition Device) เช่น อุปกรณ์วิเคราะห์เสียงพูด (Speech Recognition Device)



หน่วยประมวลผลกลาง(central processing unit) หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า ซีพียู (CPU)



เป็นวงจรอิเลคทรอนิคที่ทำงาน หรือประมวลผล ตามชุดของคำสั่งเครื่องจากซอฟต์แวร์ คำนี้เริ่มใช้ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ต้นศตวรรษ 1960s
หน่วยประมวลผลเปรียบเสมือนเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ในการทำหน้าที่ตัดสินใจหรือคำนวณ จากคำสั่งที่ได้รับมา เช่น การเปรียบเทียบ การกระทำการทางคณิตศาสตร์ ฯลฯ
โดยมีกระบวนการพื้นฐานคือ
    • 1. อ่านชุดคำสั่ง (fetch)
    • Fetch - การอ่านชุดคำสั่งขึ้นมา 1 คำสั่งจากโปรแกรม ในรูปของระหัสเลขฐานสอง (Binary Code from on-off of BIT)
    • 2. ตีความชุดคำสั่ง (decode)
    • Decode - การตีความ 1 คำสั่งนั้นด้วยวงจรถอดรหัส (Decoder circuit) ตามจำนวนหลัก (BIT) ว่ารหัสนี้จะให้วงจรอื่นใดทำงานด้วยข้อมูลที่ใด
    • 3. ประมวลผลชุดคำสั่ง (execute)
    • Execute - การทำงานตาม 1 คำสั่งนั้น คือ วงจรใดในไมโครโปรเซสเซอร์ทำงาน เช่น วงจรบวก วงจรลบ วงจรเปรียบเทียบ วงจรย้ายข้อมูล ฯลฯ
    • 4. อ่านข้อมูลจากหน่วยความจำ (memory)
    • Memory - การติดต่อกับหน่วยความจำ การใช้ข้อมูที่อยู่ในหน่วยจำชั่วคราว (RAM, Register) มาใช้ในคำสั่งนั้นโดยอ้างที่อยู่ (Address)
    • 5. เขียนข้อมูล/ส่งผลการประมวลกลับ (write back)
      Write Back - การเขียนข้อมูลกลับ โดยมีหน่วยจำ Register ช่วยเก็บที่อยู่ของคำสั่งต่อไป ภายหลังมีคำสั่งกระโดดบวกลบที่อยู่
หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากคอมพิวเตอร์ โดยมากจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1.       หน่วยแสดงผลชั่วคราว (Soft Copy)
หมายถึงการแสดงผลออกมาให้ผู้ใช้ได้รับทราบในขณะนั้น แต่เมื่อเลิกการทำงานหรือเลิกใช้แล้วผลนั้นก็จะหายไป ไม่เหลือเป็นวัตถุให้เก็บได้ ถ้าต้องการเก็บผลลัพธ์นั้นก็สามารถส่งถ่ายไปเก็บในรูปของข้อมูลในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เพื่อให้สามารถใช้งานได้ในภายหลัง ได้แก่ จอภาพ อุปกรณ์ฉายภาพ
อุปกรณ์เสียง

2.       หน่วยแสดงผลถาวร (Hard Copy)
หมายถึงการแสดงผลที่สามารถจับต้อง และเคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ มักจะออกมาในรูปของกระดาษ ซึ่งผู้ใช้สามารถนำไปใช้ในที่ต่าง ๆ หรือให้ผู้ร่วมงานดูในที่ใด ๆ ก็ได้ อุปกรณ์ที่ใช้เช่น
 เครื่องพิมพ์ (Printer) 
เครื่องพลอตเตอร์ (Plotter)

หน่วยความจำหรือหน่วยเก็บข้อมูล
หน่วยความจำ ทำหน้าที่เก็บโปรแกรมที่คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่เก็บโปรแกรมที่คอมพิวเตอร์กำลังประมวลผล และเป็นที่พักข้อมูลระหว่างที่ซีพียูกำลังประมวลผล


หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage Unit)
อุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรอง สามารถจำแนกได้เป็น
2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
 จานแม่เหล็ก ( magnetic disk storage)



จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภท จานแม่เหล็กประกอบด้วยแผ่นพลาสติกหรือโลหะที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็ก ข้อมูลสามารถบันทึกและอ่านจากผิวหน้าที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็กนี้ จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความจุสูง มีความเชื่อถือได้ และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ประเภทของจานแม่เหล็ก เช่น  ฮาร์ดดิสก์ ( hard disk ),ฟลอปปี้ดิสก์ ( floppy disks)







ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์


      เครือข่ายคอมพิวเตอร์  (Computer  Network)  คือระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้สื่อกลาง   และก็สื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ทรัพยากร(Resources) ที่มีอยู่ในเครือข่ายร่วมกันได้ เช่น เครื่องพิมพ์ ซีดีรอม สแกนเนอร์ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น
แนวคิดในการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้น เริ่มมาจากการที่ผู้ใช้ต้องการที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว คอมพิวเตอร์เดี่ยวๆ เป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลในปริมาณมากอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว แต่ข้อเสียคือ  ผู้ใช้ไม่สามารถแชร์ข้อมูลนั้นกับคนอื่นอย่างมีประสิทธิภาพได้ก่อนที่จะมีเครือข่ายคอมพิวเตอร์

องค์ประกอบพื้นฐานของเครือข่าย
                 การที่คอมพิวเตอร์จะเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้ ต้องมีองค์ประกอบพื้นฐานดังต่อไปนี
 - คอมพิวเตอร์ อย่างน้อย  2  เครื่อง
                - เน็ตเวิร์ดการ์ด  หรือ  NIC ( Network  Interface  Card) เป็นการ์ดที่เสียบเข้ากับช่องที่ เมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์  ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และเครือข่าย
                - สื่อกลางและอุปกรณ์สำหรับการรับส่งข้อมูล  เช่น  สายสัญญาณ  ส่วนสายสัญญาณที่นิยมที่ใช้กันในเครือข่ายก็เช่น  สายโคแอ็กเชียล  สายคู่เกลียวบิด  และสายใยแก้วนำแสง  เป็นต้น ส่วนอุปกรณ์ เครือข่าย  เช่น  ฮับ สวิตช์ เราท์เตอร์ เกตเวย์ เป็นต้น
                - โปรโตคอล  ( Protocol) โปรโตคอลเป็นภาษาที่คอมพิวเตอร์ใช้ติดต่อสื่อสารกันผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่สามารถสื่อสารกันได้นั้นจำเป็นที่ต้องใช้  “ภาษา” หรือใช้โปรโตคอลเดียวกันเช่น  OSI,  TCP/IP,  IPX/SPX เป็นต้น
                - ระบบปฏิบัติการเครือข่าย  หรือ NOS (Network Operating System)ระบบปฏิบัติการเครือข่ายจะเป็นตัวคอยจัดการเกี่ยวกับการใช้งานเครือข่ายของผู้ใช้แต่ละคน

1  เน็ตเวิร์คการ์ด
             เน็ตเวิร์คการ์ดจะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่าย ส่วนใหญ่จะเรียกว่า “NIC (Network Interface Card)” หรือบางทีก็เรียกว่า “LAN การ์ด (LAN Card)” อุปกรณ์เหล่านี้จะทำการแปลงข้อมูลเป็นสัญญาณที่สามารถส่งไปตามสายสัญญาณหรือสื่อแบบอื่นได้  ปัจจุบันนี้ก็ได้มีการแบ่งการ์ดออกเป็นหลายประเภท   ซึ่งจะถูกออกแบบให้สามารถใช้ได้กับเครือข่ายประเภทแบบต่าง    เช่น  อีเธอร์เน็ตการ์ด  โทเคนริงการ์ด  เป็นต้น  การ์ดในแต่ละประเภทอาจใช้กับสายสัญญาณบางชนิดเท่านั้น หรืออาจจะใช้ได้กับสายสัญญาณหลายชนิด

         เน็ตเวิร์คการ์ด

              เน็ตเวิร์คการ์ดจะติดตั้งอยู่กับคอมพิวเตอร์ โดยเต้าเสียบเข้ากับช่องบนเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์ส่วนมากคอมพิวเตอร์ที่ผลิตในปัจจุบันจะมีเฉพาะช่องPCIซึ่งก็ใช้บัสที่มีขนาดขนาด 32 บิต  อย่างไรก็ตาม ยังมีคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าที่ยังมีช่องแบบ  ISA อยู่  ซึ่งมีบัสขนาด 16 บิต  และมีการ์ดที่เป็นแบบ  ISA จะประมวลผล  ข้อมูลช้ากว่าแบบ  PCI
2  สายสัญญาณ
ปัจจุบันมีสายสัญญาณที่ใช้เป็นมาตรฐานในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์อยู่ประเภท
2.1  สายคู่บิดเกลียว             สายคู่บิดเกลียว  ( twisted   pair )  ในแต่ละคู่ของสายทองแดงซึ่งจะถูกพันกันตามมาตรฐาน    เพื่อต้องการลดการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากับคู่สายข้างเคียงได้แล้วผ่านไปยังสายเคเบิลเดียวกัน  หรือจากภายนอกเท่านั้น    เนื่องจากสายคู่บิดเกลียวนั้นมีราคาไม่แพงมากใช้ส่งข้อมูลได้ดี  แล้วน้ำหนักเบา ง่ายต่อการติดตั้ง  จึงทำให้ถูกใช้งานอย่างกว้างขวางตัวอย่างคือสายโทรศัพท์สายแบบนี้มี 2 ชนิดคือ

             สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน   (Shielded  Twisted   Pair : STP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่หนาอีกชั้นดังรูป     เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
สายบิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน

              สายคู่เกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน  (Unshielded Twisted  Pair : UTP)  เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกด้วยซึ่งบางทีก็หุ้มอีกชั้นดังรูป  ซึ่งทำให้สะดวกในการโค้งงอ  แต่ก็สามารถป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าชนิดแรก                                            

 สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน

        2.2   สายโคแอกเชียล                สายโคแอกเชียล เป็นตัวกลางการเชื่อมโยงที่มีลักษณะเช่นเดียวกับสายทีวีที่มีการใช้งานกันอยู่เป็นจำนวนมากไม่ว่าจะใช้ในระบบเครือข่ายเฉพาะที่  และใช้ในการส่งข้อมูลระยะที่ไกลระหว่างชุมสายโทรศัพท์หรือการส่งข้อมูลสัญญาณวีดีทัศน์ ซึ่งสายโคแอกเชียลที่ใช้ทั่วไปก็มีอยู่ 2 ชนิด คือ 50 โอห์ม  ซึ่งใช้ส่งข้อมูลแบบดิจิทอล และชนิด 75โอห์ม  ซึ่งก็จะใช้ส่งข้อมูลสัญญาณอนาล็อกสายโคแอกเชียลมีฉนวนหุ้มเพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าและก็เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนอื่นๆ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สายแบบนี้มีช่วงความถี่ที่สัญญาณไฟฟ้าสามารถส่งผ่านได้กว้างถึง 500 Mhz จึงสามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราของการส่งสูงขึ้น

ลักษณะของสายโคแอกเชียล

       2.3  เส้นใยแก้วนำแสง เส้นใยนำแสง  ( fiber  optic ) เป็นการที่ใช้ให้แสงเคลื่อนที่ไปในท่อแก้ว ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยเป็นอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลที่สูงมากที่ปัจจุบันถ้าใช้เส้นใยนำแสงกับระบบอีเธอร์เน็ตก็ใช้ได้ด้วยความเร็ว 10  เมกะบิต   ถ้าใช้กับ  FDDI  ก็จะใช้ได้ด้วยความเร็วสูงถึง100 เมกะบิต

ลักษณะของเส้นใยนำแสง
3  อุปกรณ์เครือข่าย
   อุปกรณ์ที่นำมาใช้ในเครือข่ายทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับการรับ- ส่งข้อมูลในเครือข่าย   หรือใช้สำหรับทวนสัญญาณเพื่อให้การรับ-ส่งข้อมูลได้ดี และส่งในระยะที่ไกลมากขึ้น   หรือใช้สำหรับขยายเครือข่ายให้มีขนาดใหญ่ขึ้น อุปกรณ์เครือข่ายที่พบเห็นโดยทั่วไป เช่น ฮับ สวิตซ์ เราท์เตอร์

    3.1  ฮับ (Hub)
          ฮับ (HUB) คืออุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมกันระหว่างกลุ่มของคอมพิวเตอร์   ฮับมีหน้าที่รับส่งเฟรมข้อมูลทุกเฟรมที่ได้รับจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่ง   เพื่อส่งไปยังทุก ๆ พอร์ตที่เหลือ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับฮับจะแชร์แบนด์วิธหรืออัตราข้อมูลของเครือข่าย


 ฮับ (HUB)
         3.2  สวิตซ์ (Switch)
               สวิตซ์  (Switch)  หรือ บริดจ์  (Bridge)  เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อ LAN สองเครือข่ายเข้าด้วยกัน  โดยจะต้องเป็นLAN ชนิดเดียวกัน และก็ใช้โปรโตคอลในการรับส่งข้อมูลเหมือนกัน เช่น ใช้ในการเชื่อมต่อ Ethernet LAN ทั้งสองเครือข่ายเข้าด้วยกัน


 สวิตซ์  (Switch)  หรือ บริดจ์  (Bridge)
           3.3  เราท์เตอร์ ( Routing )
                เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อในระบบเครือข่ายกับหลายระบบเข้าด้วยกันที่คล้ายกับบริดจ์  แต่ก็มีส่วนการทำงานจะซับซ้อนมากกว่าบริดจ์มาก  โดยเราท์เตอร์ก็มีเส้นทางการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างแต่ละเครือข่ายเก็บไว้เป็นตารางเส้นทาง เรียกว่า  Routing Table  ทำให้เราท์เตอร์สามารถทำหน้าที่จัดหาเส้นทางและเลือกเส้นทางเหมาะสมที่สุดเพื่อใช้ในการเดินทางและเพื่อการติดต่อระหว่างเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 


 เราท์เตอร์ ( Routing )
          3.4  โปรโตคอล (Protocol)
                 ในการเชื่อมโยงของเครือข่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ ในแต่ละเครื่องอาจก็ต้องมีระบบที่เหมือนกัน หรือแตกต่างกัน เช่นในการใช้งานในเครือข่ายจึงต้องเป็นมาตรฐานหรือระเบียบที่ใช้ในการติดต่อให้แต่ละเครื่องมีวิธีการสื่อสารที่เป็นไปตามแนวทางเดียวกันได้ เพื่อให้เป็นการเชื่อมโยงข้อมูล และในการติดต่อสื่อสารของเครื่องคอมพิวเตอร์ในแต่ละเครื่องต้องมีความเข้าใจถูกต้องตรงกันและสามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีไม่เกิดความเสียหายนั้นเกิดขึ้นจึงมีการกำหนดวิธีการมาตรฐานขึ้นเรียกว่า โปรโตคอล ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าโปรโตคอล  หมายถึง  กฎเกณฑ์  ข้อตกลง  ภาษาสื่อสาร รูปแบบ วิธีการเชื่อมต่อของเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย(ระบบใดๆ ก็ตาม)ให้สามารถติดต่อสื่อสารมีการใช้งานร่วมกันได้หลากหลาย


 การจำแนกประเภทของเครือข่าย

                    เครือข่ายสามารถจำแนกออกได้เป็นหลายประเภทแล้วแต่เกณฑ์ที่ใช้ คล้ายกับการจำแนกของ รถยนต์ ถ้าใช้ขนาดเป็นเกณฑ์ จะสามารถแบ่งออกได้ โดยทั่วไปจำแนกประเภทของเครือข่ายมีอยู่  3  วิธีคือ
                    1. ประเภทของเครือข่ายแบ่งตามขนาดทางภูมิศาสตร์
                     ถ้าใช้ขนาดทางกายภาพเป็นเกณฑ์  เครือข่ายก็ต้องสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ  LAN หรือเครือข่ายท้องถิ่น และ MAN หรือเครือข่ายในบริเวณกว้าง LAN เป็นเครือข่ายที่มีใช้ในขนาดเล็กที่ครอบคลุมพื้นที่ในบริเวณจำกัด เช่น  ภายในห้อง หรือภายในอาคาร  หรืออาจครอบคลุมไปถึงหลายอาคารที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เช่น ในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย ซึ่งบางทีเรียกว่า “เครือข่ายวิทยาเขต(Campus  Network ) ”  จำนวนของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันใน  LAN   อาจมีตั้งแต่สองพันเครื่องไปจนถึงหลายพันเครื่อง  แต่ในส่วนของ WAN เป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมบริเวณกว้าง เช่น
ในพื้นที่เมือง หรืออาจจะ ครอบคลุมทั่วโลกก็ได้ เช่น เครือข่ายอินเตอร์เน็ต
                     1.1  เครือข่ายท้องถิ่น  (Local Area Network หรือ Lan)  เป็นเครือข่ายระยะใกล้ใช้กันอยู่ในบริเวณที่ไม่กว้างมากนัก  อาจอยู่ในองค์กรเดียวกัน  หรืออาคารที่ใกล้กัน

1  อีเธอร์เน็ต  Ethernet
อีเธอร์เน็ต  (Ethernet ) เป็นชื่อที่เรียกวิธีการสื่อสารในระดับล่างหรือที่เราเรียกว่า โปรโตคอล (Protocol)  ในระบบ LAN ชนิดหนึ่ง ที่พัฒนาขึ้นโดย 3 บริษัทใหญ่ 
โทเคนริง  (Token Ring)
IEEE 802.5 หรือโทเคนริง (Token Ring) หรือมักจะเรียกอีกอย่างว่า ไอบีเอ็มโทเคนริง จัดเป็นเครือข่ายที่ใช้ในโทโปโลยีแบบวงแหวนนี้ด้วยสายคู่บิดเกลียว หรือเส้นใยนำแสง
3  ATM  ย่อมาจากคำว่า“ Asynchronous Transfer Mode” ไม่ได้มีความหมายถึงตู้ATM ( Automatic  Teller  Machine) ที่เราใช้ถอนเงินสดจากธนาคาร แต่บางทีตู้ ATM ที่เราใช้ถอนเงินสดอาจจะเชื่อมต่อ เข้าศูนย์กลางด้วยระบบเครือข่ายแบบ ATM   ก็ได้  ATM เป็นมาตรฐานการรับส่งข้อมูลที่กำหนดโดยITU-T  (International  Telecommunication  Union-Telecommunication  Standard  Sector)




ระบบเครือข่ายแบบกว้าง (Wide Area Network: WAN)
          ระบบเครือข่ายแบบกว้าง (Wide Area Network: WAN)
          ในระบบเครือข่าย   WAN  แบบบริเวณกว้าง  โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นเครือข่ายที่ระยะไกลเป็นระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงเครือข่ายแบบท้องถิ่นตั้งแต่ 2 เครือข่ายขึ้นไปเข้าไว้ด้วยกันโดยผ่านระยะทางที่ไกลมาก  โดยทั่วไปอาศัยสายโทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์   และคลื่นไมโครเวฟ  เป็นตัวกลางในการรับ-ส่งข้อมูล ระบบนี้เสียค่าใช้จ่ายมากกว่าแบบแรก


          2.   ประเภทของเครือข่ายแบ่งตามหน้าที่ของคอมพิวเตอร์
ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงการจำแนกประเภทของเครือข่ายตามขนาดพื้นที่ที่ครอบคลุมถึงเท่านั้น  การจำแนกประเภทของเครือข่ายยังสามารถจำแนกได้  โดยใช้ลักษณะการแชร์ข้อมูลของคอมพิวเตอร์  หรือหน้าที่ของคอมพิวเตอร์ในแต่ละเครือข่ายเป็นเกณฑ์  เพื่อเป็นการแบ่งประเภทของเครือข่าย ซึ่งเมื่อใช้หลักการนี้แล้วเราสามารถแบ่งเครือข่ายออกได้เป็น  2  ประเภทคือ 
2.1   เครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์  (Peer – To - Peer)
โดยเป็นการเชื่อมต่อของเครื่องทุกเครื่องที่ใช้ในระบบเครือข่าย  และยังมีสถานะเท่าเทียมกันหมด โดยเป็นเครื่องทุกเครื่องสามารถเป็นได้ทั้งเครื่องผู้ใช้บริการและผู้ให้เครื่องบริการในขณะใดขณะหนึ่ง
2.2   เครือข่ายแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์ (Client/Server  Network)
ถ้าระบบเครือข่ายมีคอมพิวเตอร์ไม่มากนัก ควรสร้างเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์  เนื่องจากง่ายและค่าใช้จ่ายจะถูกกว่า  แต่เมื่อเครือข่ายนั้นมีการขยายใหญ่ขึ้นจำนวนผู้ใช้ก็มากขึ้นเช่นกัน  การดูแลและการจัดการระบบก็จะซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เครือข่ายจำเป็นที่ต้องมีเซิร์ฟเวอร์ทำหน้าที่จัดการเรื่องต่างๆ และให้บริการอื่นๆ เครื่องเซิร์ฟเวอร์นั้นก็ควรที่จะเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และสามารถบริการให้ผู้ใช้ได้หลายๆ คนในเวลาเดียวกันได้
2.3  ประเภทของเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการแบบต่าง ๆ
.    ไฟล์เซิร์ฟเวอร์  (File Server)
เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ทำหน้าที่ในการจัดเก็บไฟล์ จะเสมือนฮาร์ดดิสก์รวมศูนย์ (Cauterized disk storage)  เสมือนว่าผู้ใช้งานทุกคนมีที่เก็บข้อมูลอยู่ที่เดียว  เพราะควบคุม-บริหารง่าย การสำรองข้อมูลโดยการ Restore ง่าย 
.   พรินต์เซิร์ฟเวอร์  Print  Server
หนึ่งเหตุผลที่จะต้องมี  Print Server  ก็คือ เพื่อแบ่งให้พรินเตอร์ราคาแพงบางรุ่นที่ออกแบบมาใช้สำหรับการทำงานมาก ๆ เช่น HP Laser 5000 พิมพ์ได้ถึง 10 - 24 แผ่นต่อนาที พรินเตอร์สำหรับประเภทนี้  ความสามารถในการทำงานที่จะสูง
.   แอพพลิเคชั่นเซิร์ฟเวอร์  (Application  Server)
Application  Server  คือ เซิร์ฟเวอร์ที่รันโปรแกรมประยุกต์ได้ โดยการทำงานสอดคล้องกับไคลเอ็นต์  เช่น  Mail  Server  ( รัน  MS  Exchange  Server )  Proxy  Server  (รัน Proxy Server)  หรือ Web Server  (รัน Web Server Program เช่น Xitami , Apache' )
.    อินเตอร์เน็ตเซิร์ฟเวอร์  (Internet  Server)
 ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตนั้น มีผลกระทบกับเครือข่ายในปัจจุบันเป็นอย่างมาก อินเตอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่มากและมีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก เทคโนโลยีที่ทำให้อินเตอร์เน็ตเป็นที่นิยมก็คือ เว็บ และอีเมลล์ เพราะทั้งสองแอพพลิเคชั่นทำให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและสื่อสารกันได้ง่ายและมีรวดเร็ว
-      เว็บเซิร์ฟเวอร์  (Web  Server)  คือ  เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการข้อมูลในรูปแบบ  HTML  (Hyper text  Markup Language) 
-       เมลเซิร์ฟเวอร์  (Mail Server)  คือ เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการรับ - ส่ง จัดเก็บ และจัดการเกี่ยวกับอีเมลของผู้ใช้ 



3.   ประเภทของเครือข่ายแบ่งตามระดับความปลอดภัยของข้อมูล
อีกวิธีหนึ่งในการแบ่งประเภทของเครือข่ายคือ  การใช้ระดับความปลอดภัยของข้อมูล  ซึ่งจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทด้วยกันก็คือ อินเตอร์เน็ต (Internet) ,อินทราเน็ต (Intranet) ,เอ็กส์ตราเน็ต (Extranet )

3.1  อินเตอร์เน็ต(Internet)
อินเตอร์เน็ต  (Internet) นั้นเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์     ที่นำก่อตั้งโดยกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา  อินเตอร์เน็ตในสมัยยุคแรก ๆ เมื่อประมาณปี  .. 2512   เป็นเพียงการนำคอมพิวเตอร์จำนวนไม่กี่เครื่องนั้นมาเชื่อมต่อกันเท่านั้น โดยมีเพียงสายส่งสัญญาณ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 

3.2  อินทราเน็ต (Internet)
ตรงกันข้ามกับอินเตอร์เน็ต  อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายส่วนบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต  เช่น เว็บ,อีเมลล์,FTP แต่อินทราเน็ตใช้โปรโตคอล TCP/IP แต่ใช้สำหรับการรับส่งข้อมูลเช่นเดียวกับอินเตอร์เน็ตซึ่งโปรโตคอลนี้สามารถใช้ได้กับฮาร์ดแวร์หลายประเภท และสายสัญญาณหลายประเภทฮาร์ดแวร์ที่ใช้สร้างเครือข่ายนี้ไม่ใช่ปัจจัยหลักของอินทราเน็ต แต่เป็นซอร์ฟแวร์ที่มีมาให้อินทราเน็ตทำงานได้  อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายที่องค์กรสร้างขึ้น  สำหรับให้กับพนักงานขององค์กรที่ใช้เพียงเท่านั้น

3.3  เอ็กส์ตราเน็ต  (Extranet)
เอ็กส์ตราเน็ต(Extranet) เป็นเครือข่ายแบบกึ่งอินเตอร์เน็ตกึ่งอินทราเน็ต    เอ็กส์ตราเน็ต คือ  เครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างอินทราเน็ตของ 2 องค์กร  ดังนั้นจะมีบางส่วนของเครือข่ายที่เป็นเจ้าของร่วมกันระหว่าง 2 องค์กรหรือบริษัท การสร้างอินทราเน็ตจะไม่จำกัดด้วยเทคโนโลยี แต่จะยากตรงนโยบายที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ทั้ง 2 องค์กรจะต้องตกลงกัน  การสร้างเอ็กส์ตราเน็ตจะเน้นที่ระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูลกับรวมถึงการติดตั้งไฟร์วอลหรือ ระหว่างอินทราเน็ตและการเข้ารหัสข้อมูลและสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ  นโยบายการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและการบังคับใช้ 




จัดได้ว่าแน่นกันเลยทีเดียวสำหรับเนื้อหา ยังไงวันนี้ต้องขอลาไปก่อน แล้วก็นับถอยหลังสู่ week 9 
อีก 2 สัปดาห์เท่านั้นนนน ... เราเองก็คงต้องรีบปั่นงานและอ่านหนังสือเตรียมสอบบ้างแล้วล่ะ
โชคดีและสวัสดีจ้าาาา .. ^_______^













อ้างอิงข้อมูลจาก
https://sites.google.com/site/kruyutsbw/3-1-xngkh-prakxb-khxng-khxmphiwtexr
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C
องค์ประกอบ
http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type1/tech03/18/prakopprocess.html
http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech04/24/n2.html

http://5332011101.blogspot.com/2012/02/teamwork-centralized-computing-dump.html
http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/computer/network/net_network1.htm
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C
Continue Reading...

Followers

Follow The Author