วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

week 5 : เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ 2 {☺ขนมหวานจากแดนญี่ปุ่น☺}








โอะฮาโย โกะไซมัส
(สวัสดีตอนเช้า)

คอนนิจิวะ
(สวัสดีตอนบ่าย)

คอนบังวะ

(สวัสดีตอนเย็น)




...ผู้อ่าน อ่านตอนไหนก็เชิญเลือกได้ตามสะดวกเลยน้าาา  อิ_อิ ...
** ไม่แนะนำให้อ่านตอนดึก  เตือนอย่างจริงจังเลยนะ (ฮ่าาาาๆ)









      ถ้านึกถึงขนมของญี่ปุ่นที่ใครหลายๆคนเวลาไปเที่ยวก็จะต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับมาก็คงจะได้แก่ คิทแคทหลากหลายรส  ทาโร่ชีส ช็อคโกแล็ต Royce โตเกียวบานาน่า ลูกอม ขนมขบเคี้ยว ต่างๆนานา  ที่เห็นหิ้วเข้ามาขายในไทยหรือรับพรีออเดอร์ก็มีเยอะซะเหลือเกิน....
บางคนก็คงจะกินกันจนเบื่อไปแล้ว...  เอาเป็นว่าวันนี้เราจะไม่ขอพูดถึงขนมที่กล่าวมาข้างต้น แต่จะพูดถึงขนมหวานของญี่ปุ่นที่เป็นขนมท้องถิ่นที่บางอย่างเราก็อาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน หรือไม่เคยทาน เราเองก็สนใจและอยากรู้เกี่ยวกับขนมหวานของญี่ปุ่นมากๆ
ถ้าพร้อมแล้ว เชิญรับชมได้เลยค่าาา
(พูดเหมือนเปิดการแสดง -0-  ปล.รูปมาแน่นมากกกก ขนมเยอะมากกก ใครหิวระวังนะ ... )  
 
  
   



        ขนมหวานญี่ปุ่นเรียกรวมกันว่า"วากาชิ"(Wagashi) มีมานานตั้งแต่สมัยนะระหรือประมาณ 1,300 ปี
มาแล้ว แต่เฟื่องฟูสุดๆในช่วงเอโดะ (ปี ค.ศ. 1603-1867)โดยเฉพาะในเมืองเกียวโตและโตเกียว แต่ละร้านแข่งกันขายแข่งกันคิดขนมใหม่ๆจนกลายเป็นต้นตำรับของขนมญี่ปุ่นถึงจะได้ชื่อว่าเป็นขนมหวานประจำชาติแต่ชาวญี่ปุ่นก็ไม่ได้กินวากาชิกันบ่อยๆประเภทกินตบท้ายมื้ออาหารแบบบ้านเรานั้นไม่มี เพราะเขานิยมกินผลไม้กันมากกว่า ส่วนวากาชินี้จะกินเป็นของว่างและในโอกาสพิเศษเมื่อมีพิธีการต่างๆเช่นพิธีแต่งงานหรือพิธีชงชาแรงบันดาลใจของพ่อครัวแม่ครัวในการสร้างสรรค์ขนมวากาชินั้นก็ได้มาจากธรรมชาติ ต้นไม้  ดอกไม้ การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เช่น ฤดูใบไม้ร่วงจะทำขนมคิคุโกะโระโมะรูปดอกเบญจมาศ ส่วนฤดูหนาวก็ทำยูคิโมจิ หรือโมจิหิมะ เป็นต้น



โจ นะมะกะชิ Jyo-Namagashi 
     ขนมญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เป็นแป้งห่อไส้ถั่วแดงบดหรือ "อัน" (An) แป้งที่นำมาห่อหุ้มมีทั้งแป้งท้าวยายม่อม แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า ปั้นเป็นรูปทรงต่างๆทั้งดอกไม้ ผลไม้ พระจันทร์ ซึ่งจะออกแบบให้เข้ากับฤดูกาล ทั้งชื่อขนม ส่วนผสม รูปทรงและสีสัน เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนได้รู้ว่าฤดูกาลใหม่กำลังจะมาเยือน ตัวอย่างเช่น ซากุระโมจิ (โมจิสีชมพูห่อด้วยใบซากุระ) ซึ่งจะออกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ






และอันดับแรกที่จะนำมาเสนอก็คือ ... แต่น แต๊นนน  โมจินั่นเองงงง  ^o^
โมจิ  (mochi)
     ขนมโมจิญี่ปุ่นทำด้วยโมจิสีชมพูของดอกซากุระ Sakuramochi โปะด้วยถั่วแดงและปิดด้วยใบไม้ของต้นซากุระและ Hishi mochi โมจิที่ใช้ในเทศกาลเด็กผู้หญิงฮินะมัทสึริ คือโมจิที่มีก้อนสี่เหลี่ยมสามสี สีชมพู สีขาวและสีเขียว ต่อมาก็ Hanabiramochi  ขนมหวานเสิร์ฟตอนทานกับชาในครั้งแรกของปีใหม่ เริ่มทานกันในปี 1868 จนถึงปัจจุบัน  เป็นขนมในโอกาสพิเศษสำหรับครอบครัวในวันปีใหม่เท่านั้น 


Sakuramochi

Hishi mochi



Hanabiramochi 


วาราบิโมจิ (Warabi mochi)


     วาราบิโมจิ เป็นขนมญี่ปุ่นชนิดนึงในตระกูลโมจิ แต่ไม่ได้ทำมาจากแป้งข้าวเหนียวเหมือนโมจิ หรือไดฟุกุแบบที่คนไทยคุ้นเคย น่าจะทำมาจากแป้งท้าว(มันท้าวยายม่อม) คลุกกับผงสีน้ำตาลอ่อนๆที่เรียกว่า
คินาโกะ มีกลิ่นคล้ายถั่วคั่ว งาคั่วหอมๆป่นละเอียด และมีน้ำตาลทรายแดงเป็นซอสราดทานคู่กัน 




โมจิย่างกับถั่วแดงกวน
     ชาวญี่ปุ่นนิยมกินโมจิในช่วงปีใหม่ที่มีอากาศหนาวเย็น อาจใส่ในถั่วแดงต้มที่มีน้ำมากแบบซุปถั่วแดง หรือต้มถั่วแดงให้ข้นแล้วราดบนโมจิก็ได้




ไอติมโมจิ (Mochi Ice cream) 
     เป็นการนำขนมโมจิของญี่ปุ่นมาดัดแปลงโดยใส่ไส้ข้างในเป็นไอติมหลากหลายรส : )






Kagami mochi  หรือ Kagami biraki  
     เป็นโมจิที่ถูกตบแต่งแบบโบราณเอาไว้ใช้ในงานพิธีกรรมทางศาสนาและเทศกาลต่างๆ






Kinako mochi 
     โมจิแห่งความโชคดี มีวิธีทำแบบดั้งเดิมก็คือ นำโมจิไปย่างกับไฟอ่อนๆ ก่อนและชุบด้วยซอสถั่วเหลืองที่ผสมน้ำกับน้ำตาลเอาไว้ สุดท้ายก็เอาไปคลุกกับผงถั่วเหลืองหวานเรียกว่า Kinako  ก็เสร็จเรียบร้อย




ซุป Zoni 
     ก็คือซุปที่คนญี่ปุ่นจะทานตอนวันปีใหม่ เป็นซุปที่มีโมจิ มีผักและคามาโบะโกะ อยู่ในถ้วยเดียวกัน สมัยก่อนเป็นอาหารหลักของของนักรบซามูไรที่ทำทานในช่วงการออกศึก





ยาซึฮาชิ 
     แป้งโมจิเหนียวนุ่มแผ่นบางใส่ไส้ถั่วแดง 





ดังโงะ (Dango)
     ดังโงะ โมจิลูกกลมๆ เล็กๆ ที่เสียบไม้เรียงกันอย่างสวยงาม Dango (団子) แปลว่า เกี๊ยว  หรือจะเรียกว่าเกี๊ยวญี่ปุ่นก็ได้ ขนมดังโกะหาซื้อทานได้ตลอดทั้งปีและดังโกะที่มีสามสี สีชาว สีชมพู สีเขียว เรียกว่า  Hanami Dango นิยมทานกันในช่วงชมดอกซากุระบาน ดังโกะมีหลากหลายรสชาติมาก มีทั้งถั่วแดง ชาเขียว เกาลัด มันหวาน ถั่วต้มหวาน ราดซอสถั่วเหลืองก็มี และยังมีแบบนำเต้าหู้มาผสมโมจิแล้วย่างต่อด้วยราดซอสต่างๆอีกด้วย





ไดฟุกุ (Daifuku)
          คนไทยเราชอบเรียกว่าโมจิไส้ถั่วแดง แต่จริงๆเขาเรียกขนมประเภทนี้ว่าไดฟุกุ แป้งด้านนอกทำจากแป้งข้าวเหนียวนึ่งที่นำมาตีจนเหนียว (โมจิ) มีสีขาว เขียวและชมพู ส่วนไส้ก็เป็นถั่วแดง ที่พิเศษก็จะใส่ผลไม้ลงไป เช่น อิจิโกะ ไดฟุกุ (Ichigo Daifuku)เป็นโมจิไส้ลูกสตรอร์เบอร์รี่หอมหวาน อร่อยจับใจ นอกจากนั้นยังมีไส้เมลอนบดและไอศกรีมรสต่างๆด้วย





     


.........อื้อหืออออ    เป็นยังไงกันบ้าง เริ่มหิวแล้วล่ะสิ อยากกินใช่ม้าาา ?
(บอกแล้วนะว่าอย่าเปิดอ่านตอนดึก) 5555555   นั่งหารูปไปก็อยากกินเหมือนกัน คือขนมญี่ปุ่นนี่หน้าตาน่ารัก สีสันสดใส น่าทานไปสะทุกอย่าง  อยากจะซื้อมาไว้ที่บ้านให้หมดเลยยยย   > <
นี่แค่เฉพาะประเภทที่เป็นโมจิก็เยอะแล้ว ยังมีขนมหวานแบบอื่นๆอีกเพียบ งั้นไปดูกันต่อดีกว่าเนอะ ....  



อุอิโระ (Uirou)
     "ขนมอุอิโระ" (Uirou) อาจะไม่ค่อยคุ้นตาชาวไทยสักเท่าไหร่ แต่เป็นขนมโบราณเก่าแก่และขึ้นชื่อที่สุดของเมืองนาโกยา แถมยังเป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่นมายาวนาน และยิ่งนิยมมากสำหรับการซื้อมอบให้กันเป็นของฝากจากนาโกยาและเมืองอื่นๆ ในแถบจังหวัด "ไอจิ" (Aichi) หากเป็นอูอิโระที่ขึ้นชื่อและมีชื่อเสียงที่สุด รวมทั้งมีรสชาติอร่อยและได้รับความนิยมมากที่สุดในนาโกยาก็ต้องเป็น "Aoyagi Uirou" ร้านขนมเก่าแก่ที่โด่งดังในเรื่องขนมอุอิโระมายาวนานถึง 130 ปี ไม่ว่าใครมาเที่ยวนาโกยาเป็นต้องแวะมาซื้ออุอิโระจากร้านนี้เสมอ หรือไม่ก็หาซื้อตามร้านจำหน่ายสิ้นค้าที่ระลึกจากนาโกยา หรือร้านจำหน่ายสิ้นค้าพื้นเมืองจากทั่วประเทศ และในสนามบินทุกแห่งในญี่ปุ่น







เซมเบ้ (Senbei)
     เป็นข้าวเกรียบสีน้ำตาล เคี้ยวกรุบกรอบ มีหลากรูปร่างหลายขนาด แต่แบบยอดฮิตคือทรงกลมแบนเหมือนที่รองแก้ว ทำจากข้าวเหนียวนำมาปิ้ง แต่งรสด้วยโชยุและเกลือเป็นหลัก ราดหน้าด้วยงา สาหร่าย พริก เพิ่มกลิ่น เพิ่มรสให้อร่อยกันได้หลายแบบ นอกจากนี้ยังมีเซมเบ้แบบหวานหรือซาราเมะเซมเบ้ทำจากแป้งสาลี น้ำตาลและกลูโคส







Kitsune Senbei
     ขนมเซมเบ้หน้าตาน่ารักเป็นรูปหน้ากากจิ้งจอก เป็นของฝากจากศาลเจ้า Fushimi Inari
เคลือบด้วยมิโสะขาว ใครได้ไปเที่ยวศาลเจ้าที่นี่ก็ซื้อกลับมาเป็นของฝาก ก็ดูน่ารักดี






โนะนะกะ  (Monaka)

     คือเวเฟอร์ไส้ถั่วแดง มีทั้งถั่วบดและแบบเต็มเม็ด ประกบด้วยแผ่นแป้งบางกรอบทำจากข้าวเหนียว ทำเป็นรูปวงกลม สี่เหลี่ยมดอกซากุระ และอีกสารพัดรูปแล้วแต่จะสร้างสรรค์ โดดเด่นที่ความกรอบกับความนิ่มผสานกับรสหวานๆมันๆ นอกจากไส้ถั่วแดงแล้วยังมีไส้ชาเขียวและถั่วอื่นๆด้วย







ไทยะกิ (Tai Yaki)

          ขนมหน้าตาน่ารักรูปปลาตัวเท่าผ่ามือ เป็นขนมที่จำลองรูปแบบของปลากะพงแดง เรียกอีกชื่อว่า "แพนเค้กญี่ปุ่น"เนื้อแป้งแน่นและเหนียวนุ่ม นอกจากไส้ถั่วแดงมาตรฐานแล้วก็มีไส้เกาลัด ไส้มันหวานและอีกสารพัดไส้ รูปทรงก็มีสารพัดรูปเช่นกัน ทั้งรูปตุ๊กตา รูปกลมๆ แบนๆ ที่เรียกว่า อิมะกะวะ ยะกิ และที่เรารู้จักกันดีที่สุด โดรายากิ ขนมสุดโปรดของโดราเอมอนที่เป็นรูปฆ้องนั่นเอง

        
      





      แอบทราบมาว่ามีร้านขนมไทยะกิแบบครัวซองต์มาเปิดร้านที่ไทยสักพักหนึ่งแล้ว แถวก็ค่อนข้าง
จะยาว ใครไปชิมมาแล้วมาบอกกันด้วยน้าาา   =w=




     รูปขนมมาแบบรัวๆ นี่ดูรูปก็แทบจะอิ่มแทนข้าวไปเลย (เว่อร์ไปแล้ว 555555)  อย่าพึ่งเบื่อกันนะ
แต่ละรูปนี่คัดสรรมาอย่างดี เพื่ออรรถรสในการชมเลยล่ะค่ะ ...  :D
.
.

เอ้าาา ยังไม่หมดแค่นี้  ยังมีอีก .... 





มันจู (Manju)
     ก็เป็นส่วนหนึ่งของโมจิด้วยเหมือนกัน เดิมที่จีนเรียกว่า มันโถว  ญี่ปุ่นนำเข้ามาในสมัยนารา และเริ่มเรียกว่า มันจู ตั้งแต่นั้นมา มันจูเป็นขนมญี่ปุ่นที่มีหลากหลายไส้มาก มีทั้งไส้ถั่วแดง ฟักทอง ชาเขียว เป็นต้น 







อาเกะมันจู 
    “แป้งทอดสอดไส้” ลักษณะเป็นแป้งทอดกลมๆ แบนๆ สอดไส้ต่างๆเช่น ถั่วแดง ครีม ชาเขียว เป็นต้น ขนาดย่อมๆกว่าซาลาเปาบ้านเรานิดหน่อย





#แอบเห็นกระทู้แนะนำว่าอาเกะมันจูเจ้าอร่อยอยู่ที่วัดอะซะคุสะ ใครไปญี่ปุ่นแล้วไปวัดนี้
แวะไปชิมได้น้าาาา   เราอยากกินแต่ยังไม่เคยได้ไปญี่ปุ่นเลย 55555555   #ช่างน่าเศร้าา ...
 




ฮิงะชิ Higashi 

     เป็นขนมแบบแห้ง เก็บไว้ได้นาน ทำจากแป้งข้าวเหนียว น้ำตาล และวาซัมบงโตะ  น้ำตาลผงที่ทำด้วยกรรมวิธีแบบดั้งเดิมผสมกันแล้วนำมาอัดในพิมพ์ ได้ขนมที่ผิวเป็นแป้งแห้งๆคล้ายขนมโก๋ เสิร์ฟในพิธีชงชา






โยกัง  (Yokan)
     ทำจากถั่วเหลืองหรือมันบดแล้วเอามาใส่เจลาตินให้เป็นก้อน









Seijokankidan
     อีกหนึ่งขนมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยยุคนาระ เป็นถั่วกวนห่อด้วยแป้งแล้วนำไปทอดในนํ้ามัน ให้รสชาติกรุบกรอบหวานมัน


     

Murasame (村雨) 
     ขนมดั้งเดิมที่คนญี่ปุ่นคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี  เป็นการนำถั่วแดงคัดพิเศษไปบด แล้วก็ผสมกับ แป้งข้าวเจ้า น้ำตาล จากนั้นก็นำไปนึ่ง เวลาทานจะได้ความเหนียวนุ่มของแป้งข้าวเจ้าที่เข้ากันเป็นอย่างดีกับรสชาติหวานน้อยๆ ของถั่วแดงที่เป็นส่วนผสมหลักของขนมชนิดนี้เป็นขนมขึ้นชื่อของโอซาก้าอีกด้วย







Okoshi  (おこし

     เป็นข้าวอบกรอบกับน้ำตาล ขนมดั้งเดิมที่ขึ้นชื่อของโอซาก้า มีมาตั้งแต่ปี 1805 และก็ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากความอร่อยของขนมเองแล้ว ในภาษาญี่ปุ่นคำว่า Okoshi เป็นคำที่มีความหมายดี หมายถึงการพัฒนา ก้าวผ่านสิ่งต่างๆ ไปได้ด้วยดี ดังนั้นการมอบขนม Okashi เป็นของฝากก็เหมือนกับเป็นการมอบความสุขให้กับผู้รับด้วย








หน้าตาคล้ายๆกระยาสารทของไทยเราเลย

 





จบแล้วสำหรับการนำเสนอขนมหวานจากแดนญี่ปุ่น หากมีไม่ครบหรือไม่ได้นำเสนอขนมอะไรก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ แต่ก็ได้พยายามหามาเยอะที่สุดเท่าที่จะได้แล้ว เห็นแล้วอยากกินทุกอย่างเลย ความอ้วนคืออะไร ไม่สน 555555555  จะเห็นว่าส่วนใหญ่ขนมหวานญี่ปุ่นจะเน้นวัตถุดิบจากแป้งและถั่วแดง ใครชอบก็คงถูกใจไม่น้อยเลยล่ะ สำหรับวันนี้ก็ขอจบการนำเสนอไว้แค่นี้ก่อน  ใครมีโอกาสได้ไปญี่ปุ่นก็ห้ามพลาดเลยนะจะบอกกก  

แล้วพบกันใหม่ค่าาาา



และขอปิดท้ายด้วยของหวานที่เราเองชอบมากกกกก นั่นก็คืออออ  

.
.
.

ไอศครีมซอร์ฟเสิร์ฟรสชาเขียวนั่นเองงง  ^______^



ถ้าสนใจเรื่องชาเขียวละก็ ตามไปที่บล็อกนี้ได้เลย -->https://www.blogger.com/blogger.g?blogID=8510865010458930367#editor/target=post;postID=1059299264857442700;onPublishedMenu=allposts;onClosedMenu=allposts;postNum=4;src=postname
 

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ และรูปสวยๆจาก : 
http://www.marumura.com/food/?id=1459
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=parpaya&month=04-2012&date=28&group=1&gblog=238
http://pantip.com/topic/30846402
http://www.jgbthai.com/
http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12119238/E12119238.html
http://www.gourmetandcuisine.com/recipes/587
Continue Reading...

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (C/C++/C#/Java)





     Hello World ! 

        มีใครคุ้นๆกับคำนี้บ้างหรือเปล่าเอ่ย ?  ซึ่งคำนี้เรามักจะพบเห็นได้บ่อยๆ เป็นคำที่แสดงผลเมื่อเราฝึกใช้โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์เบื้องต้นนั่นเอง  บางคนอาจจะยังสงสัยอยู่ว่ามันคืออะไร  
ใช่แล้ววว...วันนี้เราจะมานำเสนอความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ นั่นเอง !!  


        โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ก็มีเยอะมากๆ ซึ่งหัวข้อนี้เราจะขอยกตัวอย่างมาเพียงบางโปรแกรมเท่านั้นนะคะ ได้แก่ ภาษา C/C++/C# และ Java


ก่อนอื่นขอให้ความหมายเกี่ยวกับภาษาคอมพิวเตอร์กันก่อนดีกว่า...

         ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ภาษาใดๆ ที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งนั้นได้ คำนี้มักใช้เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น และมีภาษาอื่นๆ ที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น HTML เป็นทั้งภาษามาร์กอัปและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทางเทคนิคสามารถใช้ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม

        ลักษณะที่คล้ายคลึงกันของภาษาคอมพิวเตอร์ทุกภาษา ก็คือต้องมีคำสั่งต่อไปนี้
        1. คำสั่งรับข้อมูลและแสดงผล คำสั่งประเภทนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีใช้ในภาษา กับทั้งยังต้องแจกแจงละเอียดต่อไปด้วยว่า รับผ่านอุปกรณ์ใด และแสดงผลทางอุปกรณ์ใด
        2. คำสั่งคำนวณ โปรแกรมหรือคำสั่งที่เขียนจะหนีไม่พ้นคำสั่งที่สั่งให้ประมวลผลประเภท
บวก ลบ คูณ หาร
        3. คำสั่งที่มีการเลือกทิศทาง หมายถึง สั่งให้มีการเปรียบเทียบ เช่น ถ้ามากกว่าให้ทำอย่างหนึ่ง ถ้าเท่ากันให้ทำอย่างหนึ่ง หรือน้อยกว่าให้ทำอีกอย่างหนึ่ง เป็นต้น นอกจากนั้นอาจมีคำสั่งประเภทให้ทำงานเป็นวงซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะมีการเปรียบเทียบค่า ซึ่งถ้าเป็นเท่านั้นเท่านี้ หรือมากกว่าหรือน้อยกว่าก็ให้หยุดได้
        4. คำสั่งให้นำโปรแกรมหรือข้อมูลออกมาจาก และ/หรือส่งเข้าไปเก็บในสื่ออย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อเรียกมาใช้ใหม่ได้



งั้นเรามาเริ่มกันที่ ...
ภาษา C 


วิวัฒนาการของภาษาซี
ค.ศ. 1970 มีการพัฒนาภาษา โดย Ken Thompson ซึ่งทำงานบนเครื่อง DEC PDP-7 ซึ่ง ทำงานบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ไม่ได้และยังมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่(ภาษาBสืบทอดมาจาภาษา BCPL ซึ่งเขียนโดย Marth Richards)
ค.ศ. 1972 Dennis M. Ritchie และ Ken Thompson ได้สร้างภาษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ภาษา ให้ดียิ่งขึ้น ในระยะแรกภาษา ไม่เป็นที่นิยมแก่นักโปรแกรมเมอร์โดยทั่วไปนัก
ค.ศ. 1978 Brian W. Kernighan และ Dennis M. Ritchie ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า The C Programming Language และหนังสือเล่มนี้ทำให้บุคคลทั่วไปรู้จักและนิยมใช้ภาษา ในการเขียน โปรแกรมมากขึ้น
แต่เดิมภาษา ใช้ Run บนเครื่องคอมพิวเตอร์ 8 bit ภายใต้ระบบปฏิบัติการ CP/M ของ IBM PC ซึ่งในช่วงปี ค. ศ. 1981 เป็นช่วงของการพัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ภาษา จึงมี บทบาทสำคัญในการนำมาใช้บนเครื่อง PC ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และมีการพัฒนาต่อมาอีกหลาย ๆ ค่าย ดังนั้นเพื่อกำหนดทิศทางการใช้ภาษา ให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน ANSI (American National Standard Institute) ได้กำหนดข้อตกลงที่เรียกว่า 3J11 เพื่อสร้างภาษา มาตรฐานขึ้นมา เรียนว่า ANSI C
ค.ศ. 1983 Bjarne Stroustrup แห่งห้องปฏิบัติการเบล (Bell Laboratories) ได้พัฒนาภาษา C++ ขึ้นรายละเอียดและความสามารถของ C++ มีส่วนขยายเพิ่มจาก ที่สำคัญ ๆ ได้แก่ แนวความคิดของการเขียนโปรแกรมแบบกำหนดวัตถุเป้าหมายหรือแบบ OOP (Object Oriented Programming) ซึ่งเป็นแนวการเขียนโปรแกรมที่เหมาะกับการพัฒนาโปรแกรมขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนมาก มีข้อมูลที่ใช้ในโปรแกรมจำนวนมาก จึงนิยมใช้เทคนิคของการเขียนโปรแกรมแบบ OOP ในการพัฒนาโปรแกรมขนาดใหญ่ในปัจจุบันนี้


Thompson (left) with Dennis Ritchie.

 เราจึงจะมาเริ่มต้นที่การเขียนโปรแกรมในภาษา C กันเลย เราลองมาเริ่มจากตัวอย่างการเขียน ภาษา C แบบ ง่ายๆ กันก่อนกับโปรแกรม Hello World

#include
main()
{
printf("Hello World  !! ");
}

บรรทัดแรก #include เป็นการบอกว่าให้ทำการรวม Header file ที่ชื่อว่า stdio.h (.h = header) ซึ่งเป็น header ที่เกี่ยวข้องกับการรับและให้ข้อมูล (Standard Input Output) นอกจาก stdio.h แล้ว ก็ยังมี Header อื่นๆ ที่ผู้พัฒนาสามารถที่จะเรียกใช้งาน Function ที่จำเป็นจาก Header นั้นๆ ได้ อาทิเช่น

5519


รู้จัก Header File กันไปล่ะ คราวนี้ เราลองมาดูบรรทัดถัดไปกัน ก็คือ ฟังก์ชัน main() จะเป็นจุดเริ่มต้นของโปรแกรม และโปรแกรมทุกโปรแกรมในภาษา C จะต้องมี Function main() นี้ โดยส่วนมาก เราจะใช้ Function main() ในการกำหนดค่าเริ่มต้นต่างๆ ของโปรแกรม จากนั้นจึงเข้าสู่ Function ต่างๆ ที่ผู้พัฒนา ได้กำหนดขึ้นไว้

บรรทัดถัดมาจะเป็นเครื่องหมาย { ซึ่งเป็นเครื่องหมายบ่งบอกขอบเขตของ Function โดยขอบเขตของฟังก์ชัน จะเปิดและปิดโดยใช้เครื่องหมายเปิด { และเครื่องหมายปิด } ตามลำดับ ภายใน Function main() จะมีคำสั่ง (Statement) printf("Hello World  !! "); ซึ่ง printf เป็น Function ในภาษา C ทำหน้าที่ให้โปรแกรม ทำการแสดงผลออกทางหน้าจอว่า Hello World  !! และทุกครั้ง ผู้พัฒนาจะต้องทำการจบคำสั่งหรือ Statement ด้วยเครื่องหมาย semi-colon ;

ดังนั้นรูปแบบของการเขียนโปรแกรม จึงเขียนออกมาในรูปแบบดังนี้

// ข้อความที่อยู่ข้างหลังเครื่องหมาย // จะเป็นคำอธิบายโปรแกรม
#include
void main()
{
constant declarations; // การกำหนดค่าคงที่ต่างๆ
variable declarations; // การกำหนดตัวแปรต่างๆ
executable statements; // คำสั่งการทำงานของโปรแกรม
}

การอ่านข้อมูลและการแสดงผล (Input & Output) 

รูปแบบการใช้งานฟังก์ชัน printf จะทำการพิมพ์ในรูปแบบที่ เริ่มต้นด้วย Format ที่ต้องการจะพิมพ์ และตามด้วยตัวแปรที่ต้องการพิมพ์ ดังนี้

printf( const char *format [, argument]... );

สำหรับการนำข้อมูลเข้าก็เช่นกัน จะใช้ฟังก์ชัน scanf ซึ่งจะเป็นฟังก์ชันสำหรับอ่านข้อมูลจากคีย์บอร์ด และจะนำข้อมูลที่ User ทำการพิมพ์ไปเก็บไว้ใน argument โดยแต่ละ argument จะต้องเป็นตัวแปรที่เรียกว่า pointer (รายละเอียดจะได้กล่าวต่อไป) และมีชนิดที่ตัวแปรที่สัมพันธ์กับที่ได้กำหนดไว้ใน Format รูปแบบการใช้งานของฟังก์ชัน scanf สามารถเขียนได้ดังนี้

scanf( const char *format [,argument]... );



ตัวดำเนินการในภาษาซีและภาษาซีพลัสพลัส
ภาษาซีรองรับตัวดำเนินการหลายประเภท ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้ในนิพจน์เพื่อระบุการจัดการที่จะถูกทำให้เกิดผล ระหว่างการประเมินค่าของนิพจน์นั้น ภาษาซีมีตัวดำเนินการต่อไปนี้ พีชคณิต (+, -, *, /, %) การกำหนดค่า (=) การกำหนดค่าแต่งเติม (+=, -=, *=, /=, %=, &=, |=, ^=, <<=, >>=) ตรรกะระดับบิต (~, &, |, ^) การเลื่อนระดับบิต (<<, >>) ตรรกะแบบบูล (!, &&, ||) การประเมินค่าเชิงเงื่อนไข (?:) การทดสอบภาวะเท่ากัน (==, !=) การรวมอาร์กิวเมนต์ฟังก์ชัน (( )) การเพิ่มค่าและการลดค่า (++, --) การเลือกสมาชิกในวัตถุ (., ->) ขนาดของวัตถุ (sizeof) ความสัมพันธ์เชิงอันดับ (<, <=, >, >=) การอ้างอิงและการถูกอ้างอิง (&, *, [ ]) การลำดับ (,) การจัดกลุ่มนิพจน์ย่อย (( )) การแปลงชนิดข้อมูล (( ))ภาษาซีมีไวยากรณ์รูปนัยซึ่งระบุโดยมาตรฐานภาษาซีการแปลงจำนวนเต็ม จำนวนจุดลอยตัว และการปัดเศษ


ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก  -- >   http://e-learning.snru.ac.th/els/program1/lesson3/page3_1.html



บทเรียนภาษาซี ตอนที่ 1 (1/2)



บทเรียนภาษาซี ตอนที่ 1 (2/2)





ภาษา C++




ประวัติภาษา C++
 C++ เป็นภาษาในการเขียนโปรแกรม  ได้นำความสามารถของ ภาษา มาพัฒนา ให้เป็นโปรแกรมภาษาที่มีความเป็น Object Oriented Programming
 C++ ได้เกิดขึ้นมาเมื่อปี .. 1983 โดย Bjarne stroustrup ซึ่งทำงานอยู่ที่ Bell Laboratories โดยที่ได้มีงานเขียนเกี่ยวกับการใช้ C++ เล่มแรกในปี ค.. 1985
 C++ เป็น super set ของ ภาษา นั่นหมายความว่าทุกสิ่งที่ภาษา ทำได้ ภาษา C++ก็จะสามารถทำได้ แต่สิ่งที่ภาษา C++ ทำได้ ภาษา อาจจะทำไม่ได้

 ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ C++
 โปรแกรมภาษาอาจจะเป็นข้อกำหนด เกี่ยวกับกฎในการเขียนโปรแกรมภาษาใดภาษาหนึ่ง คนที่คิดค้นโปรแกรมภาษานั้นอาจจะเป็นคนที่ทำเอกสารเกี่ยวกับข้อกำหนด หรือ อาจจะให้องค์กรมาตรฐานอื่นๆมาทำการกำหนดให้ก็ได้ ถ้าเราจะเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน เราจำเป็นที่จะต้องมีตัวแปรภาษาซึ่ง C++ จะต้องใช้ Compiler ที่ออกแบบมาให้รับรองกับภาษา C++ ซึ่ง คน ,องค์กร หรือ บริษัท ที่สร้าง Compiler อาจจะไม่ได้แคร์ ข้อกำหนดที่ Bjarne stroustrup กำหนด หรือ อาจจะไม่ได้แคร์ มาตรฐาน ANSIด้วย ทำให้เมื่อเราเขียนโปรแกรมไปแบบ หนึ่ง แล้วเราลองไปรันกับ Compiler 2 ตัวที่มาจาก บริษัทอาจจะมีผลการทำงานไม่เหมือนกันก็ได้ หนังสือเล่มนี้สนับสนุนการใช้Compiler Turbo C++ 4.5 ของ บริษัท Borland อย่างไรก็ตามแต่หนังสือเล่มนี้ได้มีการทดลองการทำงานของ โปรแกรมจากหลายๆ Compiler ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะทำงานได้ไม่มีปัญหา 
 นอกจากนั้นแล้วยังมี Compiler ของบริษัทอื่นๆอีกที่ทำออกมาสำหรับ C++ เช่น

 Borland C++
 Microsoft Visual C++
 Djgpp
 Symantec C++
 Watcom C++


ตัวอย่าง โปรแกรมในภาษา C++
ในตัวอย่างนี้เราจะเขียนโปรแกรม ทีมีการทำงานให้มีการแสดง คำว่า Hello World ที่จอภาพ

 ในส่วนของ Source code ภาษา C++ ในหนังสือเล่มนี้จะมีหมายเลขของบรรทัดพร้อมทั้งเครื่อง หมาย เพื่อบอกว่าเป็นบรรทัดที่เท่าไหล่ ในตอนเขียน Code จริงๆไม่ต้องใส่หมายเลขและเครื่องหมาย ลงไป Source code ในส่วนที่อธิบายไปแล้ว จนเป็นที่รู้กันแล้วว่าคืออะไร จะไม่อธิบายอีก
 เช่น Code ในหนังสือเป็น

1: #include <iostream.h>
ให้เขียนเป็น
#include <iostream.h>


โปรแกรมที่ 3-1 แสดงตัวอย่างโปรแกรมภาษา C++
Source code

1: #include >iostream.h>

2: main()

3: {

4:  cout << "Hello 's world ";

5:  return 0;

6: }

Output

Hello ‘s World

ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก -- > http://devzilla.exteen.com/20070829/3-c

ภาษา C#





ภาษาซีชาร์ป (C Programming Language) เป็นภาษาโปรแกรมแบบหลายโมเดล ที่ใช้ระบบชนิดข้อมูลแบบรัดกุม (strong typing) และสนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงคำสั่ง การเขียนโปรแกรมเชิงประกาศ การเขียนโปรแกรมเชิงฟังก์ชันการเขียนโปรแกรมเชิงกระบวนการ การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (แบบคลาส) และการเขียนโปรแกรมเชิงส่วนประกอบ พัฒนาเริ่มแรกโดยบริษัทไมโครซอฟท์เพื่อทำงานบนดอตเน็ตเฟรมเวิร์ก โดยมีแอนเดอร์ เฮลส์เบิร์ก (Anders Hejlsberg) เป็นหัวหน้าโครงการ และมีรากฐานมาจากภาษาซีพลัสพลัสและภาษาอื่นๆ (โดยเฉพาะภาษาเดลไฟและจาวา) โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นภาษาสมัยใหม่ที่ไม่ซับซ้อน ใช้งานได้ทั่วไป (general-purpose) และเป็นเชิงวัตถุเป็นหลัก
ปัจจุบันภาษาซีซาร์ปมีการรับรองให้เป็นมาตรฐานโดยเอ็กมาอินเตอร์เนชันแนล (Ecma International) และองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) และมีรุ่นล่าสุดคือ C♯ 5.0
ที่ออกมาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตัวอย่างต่อไปนี้ คือตัวอย่างโปรแกรม Hello world ใน C#:
public class ExampleClass
{
    public static void Main()
    {
        System.Console.WriteLine("Hello, world!");
    }
}
ผลของการทำงานคือมีการแสดงคำว่า Hello, world! ในหน้าต่างคอนโซล โดยในแต่ละบรรทัดมีความหมายดังนี้:
public class ExampleClass
บรรทัดนี้คือการประกาศ Class, public หมายถึงวัตถุที่สร้างในโครงการ (Project) อื่นๆ สามารถเข้าใช้งาน Class นี้ได้ ไม่จำกัด. ข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ผ่านใต้หน่วยของบรรทัดนี้ จะใช้ในการทำงานของ Class นี้
public static void Main()
บรรทัดนี้เป็นจุดที่ใช้ในการเริ่มการทำงานของโปรแกรม เมื่อโปรแกรมทำงาน โดยสามารถเรียกใช้จากโปรแกรมอื่นได้โดยการใช้ไวยากรณ์ ExampleClass.Main() . (public static void เป็นส่วนที่ใช้ในการทำงาน ซึ่งต้องเรียนรู้ในการเขียนขั้นสูง)
System.Console.WriteLine("Hello, world!");
ในบรรทัดนี้ เป็นการทำงาน เพื่อแสดงผลออกมา Console คือโปรแกรมระบบ, ซึ่งก็คือ โปรแกรมระบบแบบสั่งคำสั่งที่ละบรรทัด (เช่น DOS) ที่สามารถรับข้อมูลและแสดงผลเป็นข้อความได้. จากที่เราเขียนโปรแกรมจะทำการเรียก Consoleโดยใช้คำสั่ง WriteLine, ซึ่งทำให้สามารถส่งค่าข้อความออกมาแสดงผลได้

ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก --> http://nantayut.cs.ubru.ac.th/file_download/TechnicProgaming/01chapter.pdf

บทเรียนภาษา C# ตอนที่ 1 





ภาษา Java




          



 ภาษา Java เป็นภาษาระดับสูงในยุคที่ 4 ที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้วัตถุ (Object) เป็นหลักในการพิจารณาสิ่งต่างๆที่สนใจ ดังนั้นโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มของ Object ถูกจัดกลุ่มในรูปของ Class โดยที่แต่ละคลาสมีคุณสมบัติการถ่ายทอดลักษณะ (Inheritance) ภาษา Java ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java สามารถทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสภาวะแวดล้อมต่างกันได้โดยไม่ขึ้นกับแพตฟอร์มใดๆ (Platform Independent) เป็นภาษาที่มีไวยากรณ์เข้าใจง่าย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

                    class TestJava
                    {
                    public static void main(String[] args)
                    {
                    System.out.println("Hello World!");
                    }  
                    }


เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรม
          เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Java จะต้องมีโปรแกรมที่รวมคำสั่งต่างๆ ให้สามารถคอมไฟล์ และรันโปรแกรมได้ที่เรียกว่า Java Virtual Machine ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเขียน และพัฒนาโปรแกรม Java Virtual Machine จะอยู่ในโปรแกรมชุดพัฒนาจาวาที่เรียกว่า JDK (Java Development Kit) เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท Sun Microsystems ที่ใช้บริการฟรีบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งประกอบด้วยคำสั่งต่างๆ และเครื่องมือที่ใช้ในการคอมไพล์ และรันโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java โดยการดาวน์โหลด (Download) โปรแกรมชุดพัฒนาจาวา JDK ได้ที่เว็บไซต์www.java.sun.com ซึ่งจะมีโปรแกรม JDK เวอร์ชันใหม่ตลอดเวลา และเลือกระบบปฏิบัติการที่ต้องการใช้ หลังจากนั้นได้ทำการติดตั้ง และลงโปรแกรมให้เรียบร้อย เครื่องมือ และคำสั่งที่ใช้ในการสร้างโปรแกรม Java จะถูกเก็บไว้ในโฟลเดอร์ของ Java ที่ชื่อ bin เช่น C:\java\bin เป็นต้น ประกอบด้วยคำสั่งที่สำคัญดังนี้

ไฟล์
คำอธิบาย
javac.exeคอมไพล์เลอร์ (Compiler) ของ Java เป็นคำสั่งที่ใช้คอมไฟล์ ตรวจสอบไวยากรณ์ของโปรแกรมโดยการแปลงไฟล์ซอร์สโค้ด ให้เป็นไฟล์ไบต์โค้ดที่เป็นคลาสของโปรแกรม
java.exeอินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) ของ Java เป็นคำสั่งที่ใช้ในการรันไฟล์ไบต์โค้ดที่คอมไพล์ แล้วให้ทำงานตามคำสั่งของโปรแกรม
appletviewer.exeApplet Viewer เป็นคำสั่งที่ใช้ทดสอบและรันโปรแกรมแอปเพล็ต
javadoc.exeผลิตเอกสารของคำสั่ง API ใช้สร้างเอกสารของ Java API ในรูปแบบของ HTML จาก
ซอร์สโค้ดของ Java
javap.exeการแยกและถอดไฟล์ของ Java และพิมพ์ออกมาเป็นตัวแทนของไบต์โค้ด (Bytecode)
jdb.exeดีบักเกอร์(Debugger) ของ Java ใช้ในการตรวจสอบข้อผิดพลาดในโปรแกรมพร้อมรายงานข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
การเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Java ประกอบด้วยขั้นตอนการทำงานทั้งหมด 3 ขั้นตอน ดังนี้
          ขั้นตอนที่ 1 สร้างโปรแกรมซอร์สโค้ด โดยการพิมพ์คำสั่งต่างๆ ตามหลักการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Java โดยใช้เอดิเตอร์ (Editor) หรือโปรแกรมที่สามารถพิมพ์ข้อความ (Text Editor) และสามารถบันทึกไฟล์เป็นรหัสแอสกี (ASCII) ได้ เช่น โปรแกรม Notepad หรือ โปรแกรม Editplus เป็นต้น หลังจากเขียนโปรแกรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องทำการบันทึกข้อมูลเป็นไฟล์ที่มีชื่อเดียวกันกับชื่อคลาสของ Java และใช้นามสกุลไฟล์เป็น java ตัวอย่างเช่น TestJava.java


          ขั้นตอนที่ 2 คอมไพล์โปรแกรมซอร์สโค้ด โดยการใช้คำสั่ง javac.exe ที่มากับการติดตั้ง JDK แล้ว มีรูปแบบคำสั่ง คือ javac  FileName.java เมื่อ FileName.java คือ ชื่อไฟล์ใดๆ ที่มีนามสกุล java  ถ้าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ผลลัพธ์ที่ได้จากการคอมไพล์ จะได้ไฟล์ไบต์โค้ดที่ชื่อเดียวกับชื่อคลาส ตัวอย่างเช่น  javac  TestJava.java หลังจากการคอมไพล์จะได้ไฟล์ TestJava.class ข้อสำคัญในการคอมไพล์ไฟล์ซอร์สโค้ด คือต้องพิมพ์ชื่อไฟล์พร้อมนามสกุลเป็น java เสมอ และต้องพิมพ์ชื่อไฟล์ด้วยตัวอักษรตัวใหญ่หรืตัวเล็กให้ถูกต้องตามการตั้งชื่อคลาส 
          ขั้นตอนที่ 3 ทำการรันโปรแกรม เพื่อดูผลลัพธ์ทางจอภาพโดยการรันไฟล์ไบต์โค้ด โดยการใช้คำสั่ง javac.exe ที่มากับการติดตั้ง JDK แล้วซึ่งมีรูปแบบคำสั่งคือ java  FileName เมื่อ FileName คือ ชื่อไฟล์ใดๆ ไม่ต้องมีนามสกุล
          ดังนั้นการรันโปรแกรมเพียงแค่พิมพ์ชื่อไฟล์ไม่ต้องพิมพ์นามสกุลของไฟล์ และต้องพิมพ์ชื่อไฟล์ด้วยตัวอักษรตัวใหญ่หรืตัวเล็กให้ถูกต้องตามชื่อคลาส  ตัวอย่างเช่น  java  TestJava  เมื่อ TestJava  คือชื่อไฟล์ TeatJava.class





ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก --> http://settawut123456.blogspot.com/2013/05/java.html


ภาษาจาวาตอนที่ 1 



        ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้เขียนโปรแกรมเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ มีมากมายหลายภาษา ซึ่งแต่ละภาษาโปรแกรมมีข้อดีและเหมาะกับใช้งานต่างๆ กัน หลักในการเลือกใช้ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้งาน
ควรพิจารณาสิ่งต่างๆ ดังนี้คือ


1. เลือกภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เหมาะกับความชำนาญของบุคลากร หรือนักเขียนโปรแกรม

2. คำนึงถึงเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและเขียนโปรแกรม
3. เลือกภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่นักเขียนโปรแกรมเข้าใจง่าย มีการประยุกต์ใช้งานได้อย่างแพร่หลาย และสามารถพัฒนาต่อไปในอนาคตได้
4. เลือกภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้เหมาะกับฮาร์ดแวร์ และสามารถทำงานร่วมกันได้ระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์


        เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมจากวิดีโอ ฝึกเขียนโค้ด หรือสนใจจะเรียนเกี่ยวกับสาขาของภาควิชาคอมพิวเตอร์ก็จะได้เจอและฝึกทักษะเกี่ยวกับภาษาคอมพิวเตอร์อีกเพียบซึ่งอาจจะทำให้ตาลายกันได้เลยทีเดียว  และที่สำคัญด้วยความห่วงใยจากบล็อกเกอร์  
*อย่าอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆเดี๋ยวจะส่งผลเสียต่อสายตาของเราได้ เราต้องถนอมสายตาของเราไว้ใช้นานๆนะ :D *       แล้วพบกันบล็อกหน้า อย่าลืมติดตามน้าาา .... 








อ้างอิง
http://www.comscicafe.com/article/4/cpp-lesson-2-tutortong#.VYgmDfntmko
http://devzilla.exteen.com/20070829/2-c
http://tuchchapron.blogspot.com/
http://settawut123456.blogspot.com/2013/05/java.html
http://dolkkatwin.blogspot.com/2012/07/c-c-c.html
https://sites.google.com/site/bbmm2553/prawati-khwam-pen-ma-khxng-phasa-si
http://thaigoodview.com/node/99341
http://www.tice.ac.th/division/website_c/about/page2.htm
http://www4.csc.ku.ac.th/~b5340204758/lean7.html
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9B

YOUTUBE : PasaComputer
Continue Reading...

Followers

Follow The Author